jet lag blog

7 วิธีรับมือกับอาการเจ็ทแลค (Jet Lag)

October 28, 2020

ผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือมีธุระต้องเดินทางไกลด้วยเครื่องบินบ่อยๆ อาจคุ้นเคยกับอาการเจ็ทแลคที่อาจทำให้คุณหมดสนุกและนอยด์ไปหลายวัน มาทำความเข้าใจอาการเจ็ทแลคให้มากขึ้น และอ่าน 7 วิธีรับมือกับอาการเหล่านี้ เพื่อให้ทริปหน้าของคุณสนุกมากกว่าเดิมกันเถอะ!

เจ็ทแลค (Jet Lag) คืออะไร

เจ็ทแลค คือ อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางโดยเครื่องบิน หรือที่เรียกว่า “อาการเมาเวลา” เกิดขึ้นจากการเดินทางข้ามเขตโซนเวลาที่แตกต่างกันมากๆ เช่น ข้ามจากทวีปเอเชียไปทวีปยุโรป ซึ่งการอยู่บนเครื่องบินเป็นเวลานานจะรบกวนวงจรการทำงานของร่างกายที่เรียกว่า จังหวะเซอร์คาเดียน (Circadian Rhythms) ทำให้ร่างกายไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับโซนเวลาใหม่ได้ เราจึงรู้สึกอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ วิงเวียนและปวดศีรษะ ไม่อยากอาหาร และบางคนอาจรู้สึกหงุดหงิดง่ายและวิตกกังวลร่วมด้วย  

หากคุณกำลังหาวิธีจัดการกับอาการอันไม่พึงประสงค์เหล่านี้ เราได้รวบรวม 7 วิธีแก้เจ็ทแลคที่พิสูจน์มาแล้วว่าได้ผล และทำตามได้ง่ายๆ มาให้อ่านกันค่ะ

1. ปรับตัวให้เข้ากับโซนเวลาใหม่ก่อนออกเดินทาง

การปรับตัวให้เข้ากับโซนเวลาใหม่ก่อนเดินทาง จะช่วยให้ร่างกายของเราคุ้นชินกับเวลาของประเทศปลายทางได้เร็วขึ้น โดยสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการปรับนาฬิกาให้ตรงกับโซนเวลา ก่อนออกเดินทางจริงประมาณ 1-2 วัน และพยายามเข้านอน ตื่นนอน และทำกิจกรรมอื่นๆ ให้ตรงกับเวลาในประเทศปลายทาง หากคุณออกเดินทางไปยังประเทศฝั่งตะวันตก เราแนะนำให้เข้านอนให้เร็วขึ้นกว่าปกติ และเข้านอนให้ช้ากว่าปกติ หากคุณเดินทางไปยังประเทศทางตะวันออก เพราะร่างกายจะปรับตัวเข้ากับโซนเวลาที่เร็วกว่าได้ยาก

นอกจากนี้ ควรเลือกไฟลท์ที่ถึงประเทศปลายทางในตอนเช้า เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวและปรับตัวเข้ากับโซนเวลาใหม่ได้มากยิ่งขึ้น

2. ใช้ผ้าปิดตาและที่อุดหู ขณะนอนหลับบนเครื่องบิน

การพักผ่อนให้เพียงพอมีความสำคัญอย่างมากในการเดินทางไกล เพราะจะช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าเกินไป ดังนั้นการใช้อุปกรณ์ช่วยเพื่อให้นอนหลับ เช่น ผ้าปิดตา และที่อุดหู จะช่วยลดสิ่งรบกวนรอบข้าง และทำให้คุณนอนหลับได้อย่างเต็มที่มากขึ้น บางสายการบินอาจจะแจกอุปกรณ์เหล่านี้ให้กับผู้โดยสารโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่เราแนะนำให้คุณเตรียมไปเผื่อ โดยสามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาและร้านขายของในสนามบิน

และเพื่อให้นอนหลับบนเครื่องบินได้อย่างสบายที่สุด เราแนะนำให้ใช้หมอนรองคอระหว่างที่อยู่บนเครื่อง เพราะหมอนรองคอจะช่วยให้นอนหลับได้สบาย และบรรเทาอาการปวดคอ แม้นอนในท่านั่ง

3. ดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ

เนื่องจากอากาศบนเครื่องบินจะแห้งมากและมีความชื้นน้อย ระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน คุณจึงควรดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ทั้งนี้ ควรงดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ รวมถึงน้ำหวาน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ

หลายคนคิดว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้นอนหลับได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่การดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้บนเครื่องบิน จะเป็นการเร่งให้ร่างกายขาดน้ำมากขึ้น และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าเดิม ทำให้ปรับตัวเข้ากับโซนเวลาใหม่ได้ยากยิ่งขึ้น

Download app

ดาวน์โหลดแอปและจองบริการนวดนอกสถานที่ได้แล้ววันนี้

app-store-badget
google-play-badget

4. หากต้องร่วมงานสำคัญ ควรเดินทางถึงจุดหมาย ก่อนประมาณ 2 วัน

ไม่ว่าคุณเดินทางโดยเครื่องบินเพื่อทำธุรกิจ หรือเพื่อร่วมงานสำคัญต่างๆ เราแนะนำให้คุณเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทาง ประมาณ 2 วัน ก่อนเข้าร่วมงานสำคัญ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน คลายความเมื่อยล้าจากการเดินทาง และใช้เวลาปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่

หากคุณเดินทางถึงจุดหมาย และต้องทำงานต่อในวันเดียวกัน ร่างกายอาจจะเหนื่อยเกินไป ทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพักผ่อนจะช่วยฟื้นฟูพลังให้กับร่างกาย โดยคุณอาจจะยืดเส้นยืดสาย ด้วยการออกกำลังกายเบาๆ เช่น วิ่งเหยาะๆ หรือเล่นโยคะ เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่น มีชีวิตชีวามากขึ้น

5. รับประทานฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin)

ฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยสมองจะหลั่งเมลาโทนิน เมื่อสภาพแวดล้อมไม่มีแสงหรือมีแสงสว่างน้อย เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการนอนหลับ เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ปลอดภัย และมีผลข้างเคียงน้อย หากใช้ในระยะสั้น ดังนั้น การรับประทานยาที่มีเมลาโทนิน จะช่วยให้คุณนอนหลับระหว่างที่อยู่บนเครื่องบิน และช่วยป้องกันการการเกิดเจ็ทแลคได้

ยาเมลาโทนินสามารถหาซื้อได้ที่ร้านยาทั่วไป คุณสามารถรับประทานยาเมลาโทนินขนาด 0.5 มิลลิกรัมในตอนกลางคืนของวันที่เดินทาง และหากยังมีอาการเจ็ทแลค ให้รับประทานยาก่อนเข้านอนอีก 2-3 วันหลังเดินทางถึงที่หมายแล้ว

6. ออกไปอยู่กลางแจ้ง

นอกจากการเลือกไฟลท์ที่ถึงจุดหมายในตอนเช้าแล้ว ในวันแรกๆ คุณควรออกไปอยู่กลางแจ้ง และสัมผัสแสงแดดให้มากๆ เพราะแสงแดดจะช่วยให้ร่างกายของเราปรับตัวตามโซนเวลา และช่วยบรรเทาอาการเหนื่อยล้า ได้ดีกว่าการนอนพักอยู่ในห้องเฉยๆ

โดยคุณอาจจะออกไปเดินเล่นในช่วงเช้า ให้ร่างกายหายจากอาการเมื่อยล้าจากการเดินทาง หรืออาจออกไปร้านกาแฟในช่วงบ่าย เพื่อให้คุณปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้น การสร้างความสมดุลให้กับร่างกายและจิตใจ เป็นวิธีจัดการอาการเจ็ทแลคได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเราสามารถปรับพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้สนุกกับการเดินทางมากขึ้น

7. นวดผ่อนคลายหลังจากถึงจุดหมาย

หลังจากการเดินทางไกล การนวด จะช่วยคลายความเมื่อยล้า และกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้คุณรู้สึกสดชื่นมากขึ้น การนวดมีหลายรูปแบบ เช่น นวดแผนไทย ที่ใช้เทคนิคการยืดเส้นและยืดกล้ามเนื้อตามเส้นพลังงาน เพื่อฟื้นฟูพลังให้กับร่างกาย และสามารถคลายความเมื่อยล้าบริเวณคอ หลัง ไหล่ ขาได้เป็นอย่างดี

นอกจากการนวดแผนไทยแล้ว ยังมีการนวดน้ำมันอโรมา และการนวดสวีดิช ที่เทอราปิสจะใช้น้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นหอมค่อยๆ นวดให้ซึมเข้าไปกับผิว คุณรู้สึกผ่อนคลายทั่วทั้งร่างกาย และอารมณ์ดีขึ้น

หากคุณต้องการผ่อนคลายจากอาการเจ็ทแลคด้วยการนวด RLAX พร้อมให้บริการนวดนอกสถานที่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต และพัทยา โดยเทอราปิสผู้มีประสบการณ์ เพียงแค่ไม่กี่คลิก ก็สามารถจองบริการได้ง่ายๆ และรอรับบริการได้ถึงที่บ้าน ที่ทำงาน และที่โรงแรม

Maprang

Hi, I'm Maprang — a content writer and translator in Wellness, IT, and Hospitality industries. I believe that anything can start from being a little bit more creative! :)